วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

OneRepublic




วันรีพับบลิก (อังกฤษ: OneRepublic) เป็นวงร็อก จากอเมริกา รวมวงในโคโลราโด โดยนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ ไรอัน เท็ดดี และ แซค ฟิลกินส์ ซึ่งตอนนั้นไรอันก็รับงานทำเพลงอยู่แล้ว และมาตั้งเป็นวงจนครบวงเมื่อปี 2003 โดยมีสมาชิกที่เหลือคือ ดรูว์ บราวน์,เอ็ดดี ฟิชเชอร์ และ ทิม มายเยอร์ จนในปี 2005 ก็ได้เซ็นสัญญากับ Columbia Records เข้าเข้าสตูดิโอทำเพลงร่วมกับโปรดิวเซอร์ เกร็ก เวลส์ ที่เคยทำงานร่วมกับ มิค่า และ เดฟโทนส์มาแล้ว มี 2 เพลงที่โปรดิวซ์โดย ไรอัน เท็ดดี แต่ไม่นานก็ย้ายไปอยู่ค่าย Interscope Records/Mosley Music Group และตอนนี้ ทิม มายเยอร์ ออกจากวงไป และในปี 2007 ได้สมาชิกใหม่คือ เบรนต์ คัตเซิล เข้ามาแทน

วันรีพับบลิก เป็นที่รู้จักในเว็บไซต์ มายสเปซ จนกระทั่ง ทิมบาแลนด์ เข้ามาร่วมงานโดยนำเอาเพลง Apologize มารีมิกซ์ จนโด่งดัง จนขึ้นอันดับสองในชาร์ทบิลบอร์ด

ประวัติ

ช่วงต้นของวง

นักเขียนเพลงและนักสร้างงานเพลง Ryan Tedder และเพื่อนร่วมโรงเรียนมัธยม Zach Filkins ได้ก่อตั้งวงดนตรีขึ้นใน Colorado Spring, โคโลราโด โดยชื่อวงในตอนนั้นคือ Republic

Tedder ได้รับความสนใจจากนักสร้างงานเพลง ทิมบาแลนด์ ในระหว่างที่เขาแสดงผลงานในรายการที่มี MTV ให้การสนับสนุน ทิมบาแลนด์จึงเซ็นสัญญาให้เขาเป็นลูกศิษย์ Tedder และ Filkins แยกทางกันสองปีให้หลังภายใต้การติวจากทิมบาแลนด์ ในระหว่างนั้น Tedder ทำงานโดยใช้นามแฝง เขาได้รับชื่อเสียงจากการสร้างผลงานและเขียนเพลงให้ศิลปินหลายคน และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมีจากงานของเขาในอัลบั้ม

ในปีค.ศ. 2002 Tedder พบกับ Filkins อีกครั้ง ซึ่ง Filkins ในระหว่างนั้นใช้ชีวิตอยู่ในชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ และเป็นนายแบบกางเกงในให้กับ Covington และ Jockey Underwear ทำให้ Tedder ทาบทาม Filkins ให้ย้ายไปที่ลอส แองเจอลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อร่วมกันก่อตั้งวง หลังจากนั้นเก้าเดือน พวกเขาเซ็นสัญญากับค่ายเพลง Columbia Records หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงภายในวงเล็กน้อย วงดนตรีจึงมี Tedder ร้องนำ Filkins เล่นกีตาร์และร้องเสริม Eddie Fisher เล่นกลอง Brent Kutzle เล่นเบสและเชลโล และ Drew Brown เล่นกีตาร์ พวกเขาเปลี่ยนชื่อวงเป็น OneRepublic หลังจากที่ค่ายเพลงกล่าวว่า ชื่อ Republic อาจสร้างข้อขัดแย้งกับวงอื่นได้

พวกเขาทำงานในห้องบันทึกเสียงโดยใช้เวลาสองปีครึ่ง และได้ทำอัลบั้มเต็มขึ้นมา พร้อมด้วยเพลง "Sleep" ที่จะใช้เป็นเพลงเปิดตัว แต่สองเดือนก่อนที่อัลบั้มจะออกวางขายนั้น ทางค่าย Columbia Records ยกเลิกสัญญา วง OneRepublic กลับมีชื่อเสียงใน MySpace และกลายเป็นวงดนตรีอันดับที่หนึ่งที่ยังไม่ได้เซ็นสัญญา วงดนตรีเริ่มได้รับความสนใจจากค่ายเพลงต่างๆ รวมถึงค่ายเพลงของทิมบาแลนด์เอง ท้ายที่สุด วง OneRepublic จึงเซ็นสัญญากับกลุ่มสังกัด Mosley Music และกลายเป็นวงดนตรีร็อกวงแรกที่ได้เซ็นสัญญากับกลุ่มสังกัดนี้

เริ่มเป็นที่รู้จักด้วยอัลบั้ม Dreaming Out Loud พร้อมเพลง "Apologize": ค.ศ. 2007 – กลางปีค.ศ. 2009


                                                             OneRepublic - Apologize


เพลงของ OneRepublic ชื่อ "Apologize" เขียนโดย Ryan Tedder นั้น ถูกใส่ไว้ในอัลบั้มเปิดตัว Dreaming Out Loud และถูกใส่ไว้ในอัลบั้มของทิมบาแลนด์ Shock Value ในปีค.ศ. 2007 ในรูปแบบรีมิกซ์ โดยในแบบรีมิกซ์นี้ มีคนซื้อมากถึงสามล้านแผ่นในสหรัฐอเมริกา และ ห้าล้านแผ่นทั่วโลก เพลงนี้ขึ้นถึงอันดับที่สามในอันดับเพลงของสหราชอาณาจักรในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 "Apologize" ยังเป็นเพลงที่ถูกเล่นมากที่สุดในอเมริกาเหนือ โดยถูกเล่นมากกว่า 10,331 รอบในหนึ่งสัปดาห์ เพลงนี้อยู่ในตำแหน่งอันดับที่หนึ่งถึงห้าเดือนก่อนที่จะถูกทำลายสถิติด้วยเพลง "Bleeding Love" ซึ่งก็เป็นเพลงที่ร่วมเขียนและร่วมสร้างโดย Tedder เช่นกัน

อัลรั้มแรกของพวกเขาเปิดตัวในสหรัฐอเมริกาในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 และต้นปีค.ศ. 2008 สำหรับประเทศต่างๆ ทั่วโลก อัลบั้ม Dreaming Out Loud ของพวกเขาขายได้ 822,458 แผ่นในสหรัฐอเมริกา ณ เดือนมกราคม ค.ศ. 2009 พร้อมกับยอดขายทั่วโลกถึง 1.8 ล้านแผ่น

อัลบั้ม Waking Up พร้อมกับเพลง "All the Right Moves": กลางปีค.ศ. 2008–ปัจจุบัน

ในวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 2008 วง OneRepublic กล่าวในระหว่างการแสดงสด ณ London Forum ในสหราชอาณาจักรว่าพวกเขากำลังทำงานเพลงใหม่ในอัลบั้มที่จะวางขายในฤดูร้อน ปีค.ศ. 2009 โดยวงได้เล่นเพลงใหม่ของพวกเขา "All The Right Moves" วงได้ย้ายไปอยู่ในเดนเวอร์ โคโลราโดเพื่อทำงานในอัลบั้มใหม่ให้เสร็จ

ชื่ออัลบั้มที่สองของพวกเขาคือ Waking Up และเริ่มวางขายในวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009 เพลงเปิดตัวของอัลบั้มคือเพลง "All The Right Moves"




                                                   OneRepublic - All The Right Move 




สมาชิก 


Ryan Tedder ร้องนำ โปรดิวเซอร์ นักเขียนเพลง เปียโน กีตาร์
















     Zach Filkins -  กีตาร์ ร้องคอรัส 






















Brent Kutzle มือเบส เชลโล นักเขียนเพลง

 



























Drew Brown มือกีตาร์ ร้องคอรัส เบส(เวลา Brent เล่น Cello)















Eddie Fisher มือกลอง นักเขียนเพลง




สำหรับเพื่อนๆท่านใดที่เป็นแฟนเพลงของวง One Republic สามารถ ติดตามข่าวสารต่างๆของพวกเขาเพิ่มเติมได้ที่   OneRepublicVEVO กันเลยนะครับ

Passenger




เดิมเป็นชื่อของโปรเจ็กต์ร่วมกันของ Mike Rosenberg (ไมค์ นักร้อง นักเขียนเพลง) และ Andrew Phillips (แอนดริว นักประพันธ์) สมาชิกหลักสองคน ร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆ ซึ่งรวมตัวตั้งแต่ปี 2003 ซึ่งวิธีเขียนชื่อวงให้ถูกต้องเป็น /Passenger นะครับ แหม่ ต้องมีลูกเล่น
กว่าพวกเขาจะได้ออกอัลบั้มก็ปาเข้าไปปี 2007 กับงานโฟล์กป็อปที่ชื่อว่า Wicked Man's Rest ซึ่งถึงแม้จะมีซิงเกิลถึง 4 เพลง แต่ก็ไม่ได้ทำยอดขายอะไรโดดเด่นมากครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเพลงเพราะให้เราได้ฟังกันไม่น้อย ทั้ง Walk You Home (Night Vision Binoculars) เพลงโฟล์กป็อปจังหวะเร่งเร้าเพลินๆ ไม่แปลกที่มันขึ้นอันดับชาร์ตได้ กีตาร์นุ่มๆ ใน For you เพลงเปิดตัวอย่าง Wicked Man's Rest ก็มีลีลาที่เด่นไม่น้อย
น่าเสียดายที่หลังจากออกอัลบั้ม แอน    ดริวก็ตัดสินใจออกจากวง เลยกลายเป็นจุดจบของ /Passenger แต่ว่าไมค์ก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อไป เป็นศิลปินเดี่ยวโดยใช้ชื่อวงเดิม แต่เปลี่ยนเป็น Passenger แทน ซึ่งเขาก็เริ่มออกงานตั้งแต่ปี 2009 ด้วยอัลบั้ม Wide Eyes Blind Love และสองอัลบั้มในปี Divers & Submarines และ Flight of the Crow แต่ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ เพราะยอดขายของทั้ง 3 อัลบั้มไม่ได้ดีเด่อะไร ทำให้หาฟังไม่ได้เลยครับ จนด้วยเกล้า
ถึงวงจะไม่ได้ประสบความสำเร็จมาก แต่เขาก็ยังพยายามทำงานเพลงต่อไป และบินไปอัดงานเดี่ยวชุดที่สี่ถึงซิดนีย์ จนกลายมาเป็นอัลบั้มเต็ม All the Little Light





บอกตรงๆ ว่าตอนที่ได้แผ่นนี้มา ผมไม่ได้รู้จักวง Passenger นี่เลย แต่ก็เห็นว่าปกสวยดี ดูด้านหลังเห็นว่าอัดในออสเตรเลีย ก็เลยคิดว่าเป็นวงจากออสซี่ แต่พอได้เปิดฟังเท่านั้นล่ะครับ สรุปได้ว่าเป็นอัลบั้มที่ทำให้ผมตกใจได้มากสุดอีกชุดหนึ่งเลยก็ว่าได้
พอเพลงแรกขึ้นมาเท่านั้นล่ะครับ กลิ่นอายของอังกฤษก็โชยออกมาเลยทีเดียว Things That Stop You Dreaming เนื้อเพลงคมคายมากครับ บอกตรงๆ เลยว่าถ้าเราพอใจกับสิ่งที่เรามีอยู่ ก็
เท่ากับเราเลิก
ฝันแล้ว น้ำเสียงเหน่อๆ ขึ้นจมูกของเขามันช่างเป็นเอกลักษณ์จริงๆ ตัวเพลงก็จังหวะไม่เนิบมาก ฟังได้สบายๆ บวกเสียงเครื่องสายข้างหลัง ทำให้แม้มันจะเป็นเพลงโฟล์กแต่ก็มีรายละเอียด เล่นเอาต้องตั้งใจฟังเลยทีเดียว
และเพลงต่อมา Let Her Go ที่เป็นซิงเกิล
ที่สองนั่นล่ะครับ เป็น
หมัดฮุกเลยทีเดียว เพลงที่เรียบๆ ดูเหมือนจะเล่นง่ายๆ แต่รายละเอียดของมัน และเนื้อเพลงที่เขียนออกมาได้อย่างงดงามมากๆ ราวกับบทกวีที่เปรียบเทียบได้อย่างเฉียบคมและสะเทือนใจ ว่าเราไม่เคยเห็นค่าของบางสิ่งจนกว่าจะเสียมันไป ทั้งติดหู ทั้งซึ้ง ไม่แปลกอะไรที่เป็นซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จที่สุด





                                                     LET HER GO - Passenger


หลังจากเจอหมัดฮุกเข้าไป ก็ทำให้ผมต้องตั้งใจฟังเพลงของเขาเลยทีเดียว แม้เพลงของเขาจะเป็นบริติชโฟล์กเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาด Mumford and Sons แต่เขาปรับให้มันฟังสบายๆ ชิลๆ ซะมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ป็อปจ๋าขนาด Ed Sheeran (ที่เขาได้โอกาสเล่นเปิดให้) เพลงของเขาเหมาะกับการฟังไปจิบไวน์นิ่มๆ อ่านหนังสือดีๆ สักเล่มไปพลาง แต่ละเพลงมันมีกลิ่นความเป็นอังกฤษที่ไม่ได้มาจากแค่ดนตรี แต่ยังมีเนื้อเพลงที่คมคาย จิกกัดสนุกๆ ตามสไตล์คนอังกฤษ เพลงเด่นก็อย่าง Keep On Walking ที่ให้ข้อคิดดีๆ หรือ The Wrong Direction เพลงสนุกๆ ฟังได้  เพลินๆ แต่ที่เซอร์ไพรส์มากคือ Hidden Track อย่าง I Hate ที่จิกกัดได้ผู้คนได้แสบสันจริงๆ ครับ







แม้ All the Little Light จะเป็นงานที่ออกมาตั้งแต่ต้นปีก่อน และออกวางขายในบ้านเราช้าไปหน่อย แต่เชื่อเถอะครับว่าคุ้มค่ากับการหามาฟังมากๆ ลองแล้วจะติดใจ
เหลือพื้นที่อยู่บ้าง ขอประชาสัมพันธ์นิดหนึ่ง แฟนเพลงร็อกบ้านเราเตรียมพบกับคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบของ Matchbox Twenty วงร็อกจากอเมริกาที่อยู่ในวงการมาถึง 17 ปี และคุณภาพไม่เคยตกเลย พวกเขาจะขนเพลงดังๆ อย่าง Push, Unwell, If You're Gone และ 3 AM มาให้พวกเราได้ฟังกันอย่างเพลิดเพลินแน่นอนครับ แถมน่าจะเป็นโอกาสอันดีหลังจากที่อัลบั้มแรกในรอบ 10 ปีของพวกเขา North ขึ้นชาร์ตอัลบั้มอันดับหนึ่งของทางอเมริกามาแล้ว กลับมายิ่งใหญ่ขนาดนี้รับรองพวกเขาจัดเต็มแน่นอนครับ เตรียมพบกับพวกเขาได้ในวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้ ที่อิมแพ็คฮอลล์ 1 เมืองทองฯ เหมือนเดิม สนใจติดต่อ Thai Ticket Major ได้เลยครับ  ^_^

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

GUITAR

ประวัติความเป็นมาของกีตาร์



prehistoric.gif (2568 bytes)กีตาร์ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย์เพียงแต่ชื่อเรียกและรูปร่างย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละยุคสมัย ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมในแถบเปอร์เซียและตะวันออกกลางหลายประเทศต่อมาได้เผยแพร่ไปยังกรุงโรมโดยชาวโรมันหรือชาวมัวร์ จากนั้นก็เริ่มได้รับความนิยมในสเปน ในยุโรปกีตาร์มักเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง และมีเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ที่ให้ความสนใจและศึกษาอย่างเช่น Queen Elizabeth I ซึ่งโปรดกับ Lute lซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของกีตาร์ก็ว่าได้ แต่การพัฒนาที่แท้จริงนั้นได้เกิดจากการที่นักดนตรีได้นำมันไปแสดงหรือเล่นร่วมกับวงดนตรีของประชาชนทั่ว ๆ ไปทำให้มีการเผยแพร่ไปยังระดับประชาชนจนได้มีการนำไปผสมผสานเข้ากับเพลงพื้นบ้านทั่ว ๆ ไปและเกิดแนวดนตรีในแบบต่าง ๆ มากขึ้น
     ผู้หนึ่งที่สมควรจะกล่าวถึงเมื่อพูดถึงประวัติของกีตาร์ก็คือ Fernando Sor ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อวงการกีตาร์เป็นอันมากเนื่องจาการอุทิศตนให้กับการพัฒนารูปแบบการเล่นกีตาร์เทคนิคต่าง ๆ และได้แต่งตำราไว้มากมาย ในปี 1813 เขาเดินทางไปยังปารีตซึ่งเขาได้รับความสำเร็จและความนิยมอย่างมาก จากนั้นก็ได้เดินทางไปยังลอนดอนโดยพระราชูปถัมป์ของ Duke of Sussex และที่นั่นการแสดงของเขาทำให้กีตาร์เริ่มได้รับความนิยม จากอังกฤษเขาได้เดินทางไปยังปรัสเซีย รัสเซียและได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเมืองเซนต์ ปีเตอร์เบิร์ก ซึ่งที่นั่นเขาได้แต่งเพลงที่มีความสำคัญอย่างมากเพลงหนึ่งถวายแก่พระเจ้า Nicolus I จากนั้นเขาก็ได้กลับมายังปารีตจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อปี 1839 หลังจากนั้นได้มีการเรียนีการสอนทฤษฎีกีตาร์ที่เด่นชัดและสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้กีตาร์ได้รับการพัฒนาอย่างมาก     หลังจากนั้นมีอีกผู้หนึ่งที่มีความสำคัญต่อกีตาร์เช่นกันคือ Francisco Tarrega (1854-1909) ซึ่งเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแต่ด้วยความสามารถด้านดนตรีของเขาก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จจนได้จากการแสดง ณ Alhambra Theater จากนั้นเขาได้เดินทางไปยัง Valencia, Lyons และ Paris เขาได้รับการยกย่องว่าได้รวมเอาคุณสมบัติของเครื่องดนตรี 3 ชนิดมารวมกันคือ ไวโอลิน, เปียโน และ รวมเข้ากับเสียงของกีตาร์ได้อย่างไพเราะกลมกลืน ทุกคนที่ได้ฟังเขาเล่นต่างบอกว่าเขาเล่นได้อย่างมีเอกลักษณ์และสำเนียงที่มีความไพเราะน่าทึ่ง หลังจากเขาประสบความสำเร็จใน London, Brussels, Berne และ Rome เขาก็ได้เดินทางกลับบ้านและได้เริ่มอุทิศตนให้กับการแต่งเพลงและสอนกีตาร์อย่างจริงจัง ซึ่งนักกีตาร์ในรุ่นหลัง ๆ ได้ยกย่องว่าเขาเป็นผู้ริเริ่มการสอนกีตาร์ยุคใหม่
     อีกคนหนึ่งที่จะขาดไม่ได้คือ Andres Sergovia ผู้ซึ่งเดินทางแสดงและเผยแพร่กีตาร์มาแล้วเกือบทั่วโลกเพื่อให้คนได้รู้จักกีตาร์มากขึ้น (แต่คงไม่ได้มาเมืองไทยน่ะครับ) ทั้งการแสดงเดี่ยวหรือเล่นกับวงออเคสตร้า จนเป็นแรงบันดาลใจให้มีการแต่งตำราและบทเพลงของกีตาร์ขึ้นมาอีกมากมาย อันเนื่องมาจากการเผยแพร่ความรู้ในเรื่องกีตาร์อย่างเปิดเผยและจริงจังของเขาผู้นี้ นอกจากนี้ผลงานต่าง ๆ ของเขาได้ทำให้ประวัติศาสตร์กีตาร์เปลี่ยนหน้าใหม่เพราะทำให้นักีตาร์ได้มีโอกาสแสดงใน concert hall มากขึ้น และทำให้เกิดครูและหลักสูตรกีตาร์ขึ้นในโรงเรียนดนตรีอีกด้วย


     สำหรับการร้องไปพร้อมกับกีตาร์ได้เริ่มมีขึ้นเมื่อสามารถปรับให้ระดับเสียงของกีตาร์นั้นเข้ากับเสียงร้องได้ ซึ่งผมเข้าใจว่าในอดีตกีตาร์มีไว้บรรเลงมากกว่าแต่เมื่อสามารถผสมผสานเสียงของกีตาร์กับเสียงร้องได้การร้องคลอไปกับกีตาร์จึงเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น นักร้องนักกีตาร์(คือทั้งเล่นทั้งร้อง) น่าจะมาจากนักร้องในยุคกลางซึ่งเป็นชนชั้นสูงได้ปลีกตัวไปทำงานในแบบที่เป็นอิสระและอยากจะทำจึงมีการผสมกันกับรูปแบบของดนตรีพื้นบ้านมากขึ้น ซึ่งงานดนตรีจึงแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
        1. เป็นงานประพันธ์เพื่อจรรโลกโลกหรือมีความจริงจังในทางดนตรีเพื่อการแสดงเป็นส่วนใหญ่ ก็คือเพลงคลาสสิกนั่นเอง
        2. งานที่สร้างจากคนพื้นบ้านจากการถ่ายทอดจากพ่อสู่ลูกลูกสู่หลาน เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสภาพความเป็นอยู่ แสดงถึงวิถีการดำเนินชีวิต ใช้ในการผ่อนคลายจากการงานความทุกข์ความยากจน เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ อันได้มาจากประสบการณ์หรือสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวขณะนั้นจึงมีความเป็นธรรมชาติอยู่มาก
    และโดยที่ทั้ง 2 ส่วนดังกล่าวได้มีการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลาจากอดีตถึงปัจจุบันจนมีการซึมซับเข้าไปยังเนื้อเพลงและทำนองเพลงทำให้เกิดรูปแบบของดนตรีในแบบใหม่ ๆมากขึ้นเรื่อย ๆ
   ในอเมริกา ผู้ที่เข้าไปอาศัยได้นำเอาดนตรีและการเต้นรำของพวกเขาเข้ามาด้วยเช่นพวกทหาร นักสำรวจ พวกเคาบอยหรือคนงานเหมืองทำให้มีการผสมผสานกันในรูปแบบของดนตรีและที่สำคัญที่สุดคือพวก อเมริกัน นิโกร ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในฐานะทาสซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดเพลงบลูส์นั่นเองซึ่งส่วนใหญ่แสดงถึงความยากลำบาก ความยากจนถ่ายทอดมาในบทเพลงสไตล์ของพวกเขาเพื่อได้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยยากและเล่นง่าย ๆ ด้วยกีตาร์กับเม้าท์ออร์แกนเป็นต้น ซึ่งเพลงบลูส์นั่นเองที่เป็นพื้นฐานของดนตรีอีกหลาย ๆ ประเภทไม่ว่าจะเป็นเพลงร็อคหรือแจ๊สในปัจจุบัน จนเดี๋ยวนี้กีตาร์มีความสำคัญกับดนตรีแทบทุกชนิด
   แม้ว่ากีตาร์จะถูกสร้างมาหลายรูปแบบแต่แบบที่ถือว่าดีที่สุดคงเป็นแบบ สแปนนิช 6 สาย ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาที่ดีอย่างมากทั้งด้านการประดิษฐ์และด้านเทคนิค ซึ่งสามารถใช้เล่นในงานแสดงคอนเสิร์ท(หมายถึงดนตรีคลาสสิก) หรือเล่นเพลงทั่ว ๆ ไปทำให้รูปทรงกีตาร์แบบนี้เป็นที่นิยมจนปัจจุบัน เริ่มจากในศตวรรษที่ 18 ได้มีการเปลี่ยนจากสายที่เป็นสายคู่มาเป็นสายเดี่ยวและเปลี่ยนจาก 5 สายเป็น 6 สาย ช่างทำกีตาร์ในยุคศตวรรษที่ 19 ได้ขยายขนาดของ body เพิ่มส่วนโค้งของสะโพกลดส่วนผิวหน้าที่นูนออกมา และเปลี่ยนแปลงโครงยึดภายใน ลูกบิดไม้แบบเก่าถูกเปลี่ยนเป็นแบบใหม่ ในยุคเดียวกันนี้ Fernando Sor ซึ่งได้กล่าวมาในข้างต้นแล้วเป็นผูที่พัฒนาและทำให้เครื่องดนตรีนี้เป็นที่ยอมรับและใช้ในการแสดงได้จนกระทั่งมาถึงยุคของ Andres Segovia ได้คิดดัดแปลงให้สามารถใช้กับไฟฟ้าได้ ซึ่งเป็นความพัฒนาอีกระดับของเพลงป๊อปในอเมริกาในช่วง 1930 กีตาร์ไฟฟ้าต้นแบบช่วงนั้นเป็นแบบทรงตันและหลักการนำเสียงจากกีตาร์ไปผสมกับกระแสไฟฟ้าแล้วขยายเสียงออกมานั้นทำให้นักดนตรีและนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันซึ่งชื่อเขาพวกเรารู้จักกันดีในนามของโมเดลหนึ่งของกิ๊บสันนั่นก็คือ Les Paul ได้พัฒนาจากต้นแบบดังกล่าว มาเป็นแบบ solid body กีตาร์ หรือกีตาร์ไฟฟ้าที่เราเห็นในปัจจุบันนั่นแหละครับซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมากของดนตรียุคนั้นและทำให้กีตาร์เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงปี 1940
    หลังจากนั้นในต้นปี 1940 นักประดิษฐ์ชาวแคลิฟอเนียอีกคนซึ่งเราก็รู้จักชื่อเขาในนามของยี่ห้อกีตาร์ที่สุดยอดอีกยี่ห้อหนึ่งนั่นก็คือ Leo Fender เขาได้ประดิษฐ์กีตาร์และเครื่องขยายเสียงในร้านซ่อมวิทยุของเขา เขาได้สร้างเครื่องขยายเสียงแต่ขณะนั้นไม่มีปุ่มคอนโทรลต่าง ๆ เช่นปัจจุบัน และใช้กับกีตาร์ของเขาซึ่งมีปุ่มควบคุมเสียงดังเบาและทุ้มแหลมซึ่งเป็นต้นแบบกีตาร์ไฟฟ้ายุคใหม่ เขาไม่ได้หยุดแค่นั้นด้วยเทคโนโลยีขณะนั้นเขารู้ว่าเขาน่าจะดัดแปลงกีตาร์โปร่งให้สามารถใช้กับเครื่องขยายเสียงได้และความพยายามเขาก็สำเร็จจนได้ในปี 1948 และได้กีตาร์ที่ชื่อว่า Telecaster ซึ่งชื่อเดิมที่เขาใช้เรียกคือ Broadcaster แต่คำว่า tele เป็นที่ติดปากกันมากกว่าและถือว่าเป็นกีตาร์ไฟฟ้าทรงตันในรูปทรงสแปนนิสรุ่นแรกที่ซื้อขายกันในเชิงพานิชย์และได้รับความนิยมอย่างมากจนกระทั่งปัจจุบัน
   

 ปัจจุบันสำหรับกีตาร์มีพร้อมแล้วทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรูปร่างรูปทรงประเภทต่าง ๆ ให้เลือกเล่นตามใจชอบ สไตล์เพลงหลากหลายสไตล์ โรงเรียนสอน ตำราต่าง ๆ ให้ศึกษามากมายแต่แนนอนการพัฒนาย่อมไม่มีวันหยุดไม่แน่ในอนาคตคุณอาจเป็นคนหนึ่งที่สร้างอะไรใหม่ ๆ ให้กีตาร์จนโลกต้องบันทึกไว้ก็ได้   ^  ^










วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Jimmy Hendrix

จิมมี เฮนดริกซ์ (Jimi Hendrix) กีตาร์ฮีโร่ชาวอเมริกัน เสียชีวิต ขณะอายุเพียง 27 ป เฮนดริกซ์ชื่อเดิม คือ James Marshall Hendrix เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2485 ที่เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน พ่อแม่เลิกกันตอนเขาอายุได้ 9 ขวบ จากนั้นแม่ก็เสียชีวิต เขาต้องไปอยู่กับยายผู้มีเชื้อสายอินเดียนเผ่าเชโรกี ตอนอายุ 15 ป พ่อของเขาซื้อกีตาร์ให้ จากนั้นเขาก็ตั้งวง กับเพื่อน ๆ ก่อนจะเปนทหารรับใช้ชาติอยู่ปหนึ่งแล้วลาออก ตัดสินใจเอาดีทางดนตรี และออกทัวร์คอนเสิร์ตไปทั่วอเมริกา ใปนี 2509 เขา ตั้งวง "The Jimi Hendrix Experience” ออกอัลบัมแรกในป 2510 คือ "Are You Experienced?” ในปเดียวกันเขาประสบ ความสำเร็จจนโด่งดังไปทั่วโลกทันทีหลังขึ้นเวที Monterey International Pop Festival


                                               Voodoo Child - Jimmy Hendrix



ช่วงปลายปก็ปล่อยอัลบัมที่ 2 คือ "Axis: Bold as Love” ก่อนจะออกอัลบั้มที่ 3 ในเดือนตุลาคมปถัดมาโดยใช้ชื่อว่า "Electric Ladyland” เดือนมิถุนายน 2512 วงนี้ก็ต้องปดตัวลง อีกสองเดือนต่อมา เฮนดริกซ์ก็ตั้งวงใหม่แต่ก็เล่นคอนเสิร์ตได้ไม่กี่ครั้งก็ยุบอีก เขาเปดสตูดิโอบันทึกเสียงของตัวเอง ชื่อ "Electric Lady Studios” ในนครนิวยอร์กเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2513 จากนั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ เขาก็เดินทางไปกรุงลอนดอน และแต่งเพลงสุดท้ายคือ "The Story of Life” ในวันที่ 17 กันยายน บ่ายวันรุ่งขึ้น ทั่วโลกก็ต้องตกตะลึงหลังทราบข่าวการเสียชีวิต ของราชากีตาร์ จิมมี เฮนดริกซ์ เนื่องจากกินยานอนหลับผสมไวน์ สำเนียงกีตาร์ไฟฟาของเฮนดริกนั้นได้รับการยกย่องว่า "สุดยอด" แนว ดนตรีของเขาเปนร็อคที่หลากหลาย มีกลิ่นอายของบลูส์ แจ๊ส ฟงก์ ฮาร์ดร็อค ไซคีเดลิก ลีลาการเล่นโดดเด่นไม่เหมือนใคร ใช้เอฟเฟกต์ สร้างเสียงแปลกใหม่ บางครั้งก็ใช้ฟนเล่น เฮนดริกซ์เปนคนถนัดซ้ายแต่ใช้กีตาร์เฟนเดอร์ สตราโตคาสเตอร์ (Fender Stratocaster) สำหรับคนมือขวาเล่นโดยหันกลับด้าน เฮนดริกซ์นับเปนมือกีตาร์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ดนตรีร็อค ตอนเขาเสียชีวิต แฟนเพลงต่างว่ากันว่า “ปศาจมารับตัวเขากลับไป”


UKULELE

UKULELE (อูคูเลเล่)




"Ukulele" เป็นภาษาฮาวายเอี้ยน ความหมายของคำว่า "ukulele" ถูกแยกเป็นสองคำคือ "uku" ซึ่งแปลว่า "ของขวัญหรือรางวัล"
ส่วนคำว่า "lele" แปลว่า "การได้มา" ดังนั้นเมื่อนำสองคำนี้มารวมกัน จึงแปลความหมายได้ว่า "ของขวัญที่ได้มา"

"Ukulele" อาจจะเป็นเครื่องดนตรีชิ้นใหม่สำหรับใครบางคน แต่สำหรับนักดนตรี หรือผู้คนบนเกาะฮาวาย(Hawaii) Ukulele เป็นเครื่องดนตรีที่เป็นเสมือนศิลปะ และวัฒนธรรมของชาวฮาวายเอี้ยน เครื่องดนตรีชิ้นนี้ถูกเล่นในงานรื่นเริงต่างๆ ในทุกๆ เทศกาล Ukulele กลายเป็นเครื่องดนตรีชิ้นเอกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งบนเกาะฮาวาย ดังนั้น ชาวฮาวายเอี้ยนกับอูกูลีเล จึงแยกจากกันไม่ออก!

Ukulele คืออะไร?
เครื่องดนตรีที่มีขนาดเล็กพกพาสะดวก สวยสะดุดตาเมื่อแรกเห็น และตัวจิ๋วเล็กนิดเดียว ในชื่อ "Ukulele" 

(ออกเสียงว่า อูกูลีเล)
บางท่านอาจจะสามารถเรียกอีกชื่อว่า อูกี (Uke) ก็คงไม่ผิด เครื่องดนตรีชิ้นนี้เกิดมาก่อนสงครามโลกสะอีก อายุอานามไม่แพ้อะคูสติกกีต้าร์ เพียงแต่ว่าเครื่องดนตรีทั้งสองมีการกำเนิด และมีการพัฒนาที่แตกต่างกัน

กีต้าร์โปร่งโด่งดังและพัฒนามาจากอเมริกา และ Ukulele เป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านมาจากเกาะฮาวาย เกิดมาก่อนยุคสงครามโลก
ต่อมาช่วงยุค 60's เจ้า Ukulele ขึ้นมาโด่งดังและรู้จักกันแพร่หลายมากขึ้น เพราะว่านักดนตรีโฟล์คซอง และแจ๊ส ได้นำมันไปเล่น
ตามสถานที่ต่างๆ ทำให้ผู้คนทั่วไปเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตา และรู้จักกับเจ้า Ukulele มากขึ้น




                                                       
                                                        เอลวิส เพรสลีย์  ( "Elvis Presley" )
                                                      

คนต่างแดนเริ่มพบเห็น และรู้จักเจ้า Ukulele อย่างแพร่หลายมากขึ้น เช่นวง The Kingston Trio (American Folksong) เป็นวงโฟล์คซอง
ก่อนยุค Peter Paul & Mary, ซึ่งเป็นวงดนตรีโฟล์คซองที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น ทั้ง David Guard และ Bob Shane เกิดและโตมาจากเกาะฮาวาย เล่น Ukulele มาตั้งแต่เด็ก หรือแม้กระทั้งสมาชิกวง "The Beatles" ยังเคยนำเจ้า Ukulele ไปใช้ ยังรวมทั้ง "Elvis Presley" 
ในช่วงยุค 80's Ukulele เริ่มตกกระแส ความนิยม การนำมาใช้เล่น และการกล่าวถึงเริ่มจางลงจนแทบจะหายไป

ต่อมาในช่วงปี 1990 เกิดกระแสขึ้นอีกครั้ง เมื่อเกิดศิลปิน Israel Kamakawiwo'ole(IZ) นักดนตรีจากเกาะฮาวาย ด้วยเอกลักษณ์ตัวอ้วนใหญ่คล้ายกับยักษ์ แต่เลือกที่จะเล่น Ukulele ตัวจิ๋วเป็นเครื่องดนตรีคู่กาย, IZ จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก กระแส IZ จึงเกิดมาพร้อมกับ Ukulele เพลงของ IZ ยังถูกไปใช้เป็นเพลงประกอบหนังอยู่เป็นระยะๆ

IZ ได้ร้องและเล่นบทเพลง "Somewhere Over the Rainbow/What a Wonderful World" ซึ่งทำให้ผู้คนเริ่มหลงเสน่ห์ในเสียงของ ukulele เข้าอย่างจัง


         

                                 "Israel Kamakawiwo'ole" (คามาคาวิโวโอเล่) 



                                                 
                                        
                          Israel Kamakawiwo'ole (IZ) - Somewhere over The Rainbows


ปลายยุค 90's หลังจากที่ Ukulele เริ่มแพร่หลายในอเมริกา เจ้า Ukulele ยังไปมีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย เพราะเด็กหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นฮาวายฝีมือขั้นเทพนามว่า "Jake Shimabukuro" ได้นำ Ukulele มาเล่นเพลงได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยลีลาอันสุดเร้าใจ ดุดัน รุนแรง
ทั้งวิธีการนำเอาเพลงที่เคยได้รับความนิยมในอดีต มา cover ด้วย Ukulele จึงทำให้ผู้ฟังสามารถเข้าถึงเสน่ห์ของ Ukulele ได้ง่ายขึ้น 

Jake จึงถือเป็นผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดคนหนึ่ง ที่ทำให้วัยหนุ่มสาวยุคใหม่ เริ่มหันมาสนใจที่จะฝึกหัด และหัดเล่น ukulele อย่างจริงๆ จังๆ 
นอกจากนั้นแล้ว ศิลปินยุคใหม่เช่น "Jack Johnson" และ "Jason Mraz" ก็ยังเล่น ukulele กับเขาด้วย



                                       





                                                                 "Jake Shimabukuro"






                                            
                                      Jake Shimabokuro - While My Guitar gently weep (Ukulele Weeps)




สำหรับวันนี้ก็ได้ทราบถึงประวัติเจ้ากีตาร์ตัวน้อย และ ประวัติของศิลปิน อุคูเลเล่ กันอย่างพอหอมปากหอมคอกัน

แล้วนะครับ ก็ขอจบบทความเพียงเท่านี้ แล้วพบกับเรื่องราวของเจ้า ukulele ในบทความถัดไปครับ.......ฺBye Bye ^ ^






จิมมี่ เพจ  (Jimmy Page)













James Patrick Page หรือที่รู้จักกันในนามว่า Jimmy Page เกิดเมื่อวันที่ มกราคม 1944 ที่Heston, Middlesex ในประเทศอังกฤษ เขาเป็นหนึ่งในมือกีต้าร์แนวร็อกที่มีพรสวรรค์ที่แตกต่างจากมือกีต้าร์คนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด Page เริ่มหัดเล่นกีต้าร์ครั้งแรกเมื่อ อายุ 13 Pageโดยยึด Elvis Preslyเป็นต้นแบบและก็เริ่มหัดเล่นกีต้าร์ด้วยตนเอง เริ่มต้นที่จะเดินทางในสายอาชีพนักดนตรี ราวๆช่วงต้นปี60 โดยเขาได้ตัดสินใจเข้าร่วมเล่นกับวงอย่าง Neil Christian & The Crusaders โดยเล่นตามที่ต่างๆในอังกฤษ แต่Page ก็มีปัญหาเกี่ยวกับร่างกาย(ไม่สบาย)ในเวลานั้น Page ได้หันชีวิตให้กับดนตรีและมาสนใจในด้านศิลปะและการวาดรูปแทน และเขาก็เข้าเรียนศิลปะที่วิทยาลัยใน Suttonจนกระทั่งวง Blue Rock อย่างRolling Stone ได้โผล่ขึ้นมาในช่างต้นปี 60 จึงเป็นเหตุให้ Page หันเหชีวิตเข้าสู่ถนนดนตรีอีกครั้ง       แต่ท้ายที่สุดเขาก็ได้บอกยกเลิกสัญญาและสิ่งต่างๆไป จนในที่สุดPage ตัดสินใจเข้าร่วม เล่นกับวง Yardbirds ในปี1966และต่อมาวง Yardbirdsก็ได้แตกตัวลง ดังนั้นPage จึงได้มาตั้งวงขึ้นใหม่ขึ้นมาและใช้ชื่อNew Yardbirds โดยมีPage เล่นกีต้าร์ Jone Paul Jone เล่นเบส Robert Plane ร้องนำ John Boham เล่นกลอง และต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อวงว่า Led Zepplin และวงก็เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพลงอย่าง Whole Lotta Love ,Rock 'N' Roll ,Black Dog , When The Levee Breaksและ Achilles Last Stand หรือ Stairway to Heaven กลายเป็นเพลงRockระดับตำนานจนกระทั่งปัจจุบันนี้





                                        Jimmy Page - Stairway to Heaven


ที่มาจาก : www.guitarthai.com



วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

TOMMY EMANUAL

Hi  สวัสดีครับยินดีต้อนรับสู่  ....

บล็อคแห่งเสียงเพลง ซึ่งมีเพลงหลากหลายให้เลือกคุณได้เลือกฟัง
ซึ่งเป็นบทเพลงจากศิลปินยุค 60-90 เป็นบทเพลงยอดฮิต 













( Tommy Emmaual ) ทอมมี่ เอมมานูเอล 
ประวัติ และ ผลงานเพลง TOMMY EMMANUEL...
“เป็นมือกีต้าร์ที่ดีที่สุด เท่าที่เคยเห็นมา” by Eric Clapton
“เป็นมือกีต้าร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ถ้าให้ผมต้องเลือกมาแค่หนึ่งคน” by Steve Vai

"Tommy Emmanuel" เกิดที่ New South Wales ในปี 1955 เดือนพฤษภาคม ณ ประเทศออสเตรเลีย
เขาเกิดในครอบครัวที่ไม่ร่ำรวย สามารถที่จะเรียกว่าเป็นครอบครัวที่ใช้ชีวิตแบบค่อนข้างลำบากก็ว่าได้

ในเรื่องของดนตรี Tommy ได้รับการส่งเสริมจากผู้เป็นแม่ตั้งแต่ตอนเด็ก เมื่ออายุ 4 ขวบกับกีต้าร์ตัวแรกของเขา
"แม่ได้สอนผมให้เริ่มต้น ทำให้ผมรู้ว่า ผมหลงรักมันเข้าอย่างจัง" Tommy เล่าถึงความหลังเมื่อครั้ง 4 ขวบ 

แต่สิ่งที่เรียกว่า มีอิทธิพลต่อการเล่น ทั้งแรงจูงใจ สไตล์การเล่น และเป็นฮีโร่สำหรับเขาก็คือ "Chet Atkins"
Tommy เล่าว่า ตอนเขาอายุ 7 ขวบ เขาได้ยินใครคนหนึ่งเล่นกีต้าร์ด้วยผ่านหน้าปัดวิทยุ สำเนียงที่แตกต่างจากเคยได้ยิน และนั่นก็คือ
"Chet Atkins" นับตั้งแต่วันนั้น "Chet Atkins" ก็เป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่สำหรับ Tommy Emmanuel

Tommy Emmanuel เคยบอกว่า ตอนเด็กๆเขาหลงเสน่ห์กับวิธีการเล่นในแบบ Chet Atkins มาก มันคือสไตล์การเล่นแบบ "Travis Picking"
คือการเล่นโดยใช้หัวแม่มือทำให้เกิดเสียงเบส และใช้นิ้วหนึ่ง สอง สาม เพื่อสร้างส่วนของ Melody หรือทำนอง




"Classical Gas" (cover ในแบบฟิงเกอร์สไตล์) น่าจะเป็นเพลงอันดับต้นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถ
ทักษะอันสุดอด ความอัฉริยะในการเล่น Acoustic Guitar ของ Tommy ได้เป็นอย่างดี

ประวัติ และ ผลงานเพลง:

Tommy Emmanuel ไม่เคยศึกษาเล่าเรียนทักษะการเล่น Guitar จากที่ใด เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง และจากการสังเกตการเล่นจากผู้อื่น
เขาฝึกจากการพัฒนา มือซ้ายและขวาของตัวเอง เช่น พัฒนาการเล่นของมือซ้ายขวาให้สามารถเล่นกีต้าร์ให้เป็น percussion ได้
โดยให้เกิดเสียงจากตัวกีต้าร์ เราจึงเห็น Tommy เคาะกีต้าร์ตัวเองให้เปรียบเป็น Percussion
เราจึงได้เห็น Soundboard กีต้าร์ของเขายับทุกๆตัว! Tommy ให้นิยามเทคนิคนี่ว่า "hand percussion"

Tommy เคยเขียนจดหมายถึง Chet Atkins ผู้เป็นฮีโล่ของเขา และได้รับจดหมายตอบจาก Chet Atkins, ในปี 1997, เขาได้มีโอกาสทำอัลบั้ม
กับ Chet Atkins โดยใช้ชื่ออัลบั้มว่า The Day Finger Pickers Took Over The World, ก่อนที่ Chet Atkins จะเสียชีวิตลงในปี 2001
ในเดือนมิถุนายน ด้วยวัย 77 ปี 

Tommy Emmanuel นับเป็นมือกีต้าร์ระดับโลก โดยล่าสุดได้รับการคัดเลือกจากบรรดาคนเล่นกีต้าร์ว่า เป็นมืออคูสติกกีต้าร์ อันดับ 1 ของโลก
ด้วยฝีมือและสไตล์การเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ เขาได้รับรางวัลมากมาย รวมทั้งได้รับเกียรติในการโชว์ฝีมือในพิธีปิดการแข่งขัน โอลิมปิค ปี 2000 ที่ซิดนีย์ อีกด้วย
Album: From Out of Nowhere album
Released 1979
1."Limehouse Blues"
2."Dixie Breakdown"
3."Orange Mountain Special"
4."Steel Guitar Rag"
5."Roly Poly"
6."Out of Nowhere"
7."Big Beaver"
8."String of Pearls"
9."Canadian Sunset"
10."Dixie McGuire"

From Out of Nowhere (Tommy Emmanuel album) เป็นงานเพลงอัลบั้มแรกของ Tommy
ออกวางจำหน่าย ในปี 1979 งานเพลงชุดนี้จัดเป็นแนว Country, Bluegrass มีเครื่องดนตรีอย่าง pedal steel
โดยมี Pee Wee Clark มาร่วมด้วย, บทเพลง "Dixie McGuire" เป็นบทเพลงหนึ่งในหลายๆ เพลงที่น่าฟัง ด้วยท่วงทำนอง
ที่ฟังง่าย และทุกๆ Concert ของเขา Tommy มักจะนำเพลงนี้มาเล่นบนเวทีด้วยเสมอๆ


สำหรับที่ชอบ ในบทเพลง ของลุงทอมมี่ ก็สามารถ เข้ามาแลกเปลี่ยนเพลง และข้อคิดเห็นกันได้นะครับ
สำหรับวันนี้ก็ ^^  BYE BYE